นิทานพื้นบ้าน อำเภอภูเรือ
ภูเรือยังมีตำนานเล่ากันมาเมื่อไม่นานมานี้ว่า
แต่ก่อนบริเวณภูเรือเคยเป็นที่ตั้งของเมืองชื่อ “เมืองภูคั่ง”
เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีทรัพย์ในดินสินในน้ำ
ประชาชนชาวเมืองภูคั่งมีความเป็นอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์
ฝ่ายเจ้าเมืองภูคั่ง มีธิดาสาวสวยองค์หนึ่งมีพระสิริโฉมงดงามมาก ด้วยเหตุนี้ นางจึงเป็นที่ปรารถนาของบรรดาชายหนุ่มของหัวเมืองแถบนั้น
แต่ละคนต่างก็มุ่งมั่นที่จะครอบครองหัวใจของสาวงามแม้จะมีหนุ่มต่างเมืองมาหมายปองอยากจะได้นางเป็นคู่ครอง
อย่างไรก็ตามแต่ เจ้าเมืองภูคั่งได้หมั้นหมายธิดาของตนให้แก่ราชบุตรของเจ้าผู้ครองนครแคว้นอื่นไว้แต่เยาว์วัย
แต่ธิดาแสนสวยของเจ้าเมืองภูคั่งไม่ได้ทราบถึงเรื่องการหมั่นหมายนั้นเลย นางจึงไปผูกสมัครรักใคร่กับชายหนุ่มพเนจรคนหนึ่ง แต่โดยแท้จริงแล้วหนุ่มพเนจรคนนั้นคือรัชทายาทของนครนครหนึ่งปลอมแปลงตัวมา เพื่อหาทางพิชิตใจของสาวงามธิดาเจ้าเมืองภูคั่งทางด้านราชบุตรของเจ้าเมือง ผู้ซึ่งเป็นคู่หมั้นของธิดาสาวเจ้าเมืองภูคั่งนั้น เมื่อถึงกำหนดนัดหมาย
ราชบุตรคู่หมั้นพร้อมด้วยบริวารก็ยกขันหมากขบวนใหญ่โต มี ช้าง ม้า โค กระบือ
และทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากไปยังเมืองภูคั่ง เพื่อจะไปประกอบพิธีแต่งงานให้เอิกเกริกสมเกียรติ์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ระหว่างเจ้าเมืองทั้งสองเมื่อขบวนขันหมากยกมาถึงบริเวณบ้านเมืองภูคั่ง ก็ได้ข่าวว่า ธิดาสาวเจ้าเมืองภูคั่งไปมีสัมพันธ์สวาทกับชายอื่นจนตั้งครรภ์เสียแล้ว
ราชบุตรจึงมีแต่ความผิดหวัง ขบวนขันหมากที่ยกไปจึงเป็นขบวนขันหมากร้าง
จึงจำข่มใจยกขบวนขันหมากกลับไปยังบ้านเมืองของตน
ระหว่างการยกขบวนขันหมากเดินทางกลับ ราชบุตรเกิดความอับอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา จึงเกิดบันดาลโทสะ
จึงชักพระขรรค์คู่มือออกมาฟาดฟันขันหมากเป็นพัลวันแล้ววิ่งแหวกขบวนขันหมากหนีเข้าไปในป่า
บรรดาญาติมิตรเมื่อหายตกตะลึงแล้วจึงพากันทิ้งขันหมากแล้วออกติดตามราชบุตรและปล่อยช้าง ม้า วัว
ควายไว้ตามลำพังอย่างไม่ใยดี สิ่งต่างๆดังกล่าว ต่อมา ได้กลายเป็นหินไปหมด
ซึ่งมีประจักษ์อยู่บนภูเรือทางเจ้าเมืองภูคั่ง ได้แต่บังเกิดความเศร้าเสียใจในเหตุการณ์อันไม่ดีงามที่เกิดขึ้น
ในที่สุดก็สิ้นชีวิตลงเพราะความตรอมใจ แล้วเมืองภูคั่งก็สาบสูญไป
แต่เชื่อว่าดวงวิญญาณของเจ้าเมืองภูคั่งยังคงวนเวียนรักษาเมืองอยู่จนบัดนี้